รู้หรือไม่? แนวทางการสอนใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ได้มีการปรับปรุงล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2560 โดยเปลี่ยนจากรูปแบบการสอนที่ ครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered) ซึ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้จากครู ไปสู่แนวทางใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered) เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงมากขึ้น แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลดีต่อการเรียนรู้อย่างไรบ้าง? มาหาคำตอบไปพร้อมกันในบทความนี้ค่ะ
อัปเดตสุดจึ้ง! หลักสูตรแกนกลางเปลี่ยนจากครูเป็นศูนย์กลาง สู่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ครูประถมศึกษาต้องไม่พลาด

ครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered) ในหลักสูตรเก่า
ใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 แนวทางการสอนส่วนใหญ่ยังคงใช้รูปแบบ ครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered) ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ ครูทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้โดยตรง ขณะที่นักเรียนมีบทบาทหลักเพียงการนั่งฟัง จดจำ และท่องจำเพื่อนำไปใช้สอบ การเรียนรู้จึงมักเป็นไปตามแบบแผนที่ครูกำหนดไว้ทั้งหมด
ลักษณะเด่นของการเรียนการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง ได้แก่:
- ครูเป็นผู้กำหนดเนื้อหาทั้งหมด นักเรียนแทบไม่มีโอกาสเลือกหรือตั้งคำถาม
- ใช้วิธีบรรยาย (Lecture) เป็นหลัก ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการ “รับ” มากกว่า “คิด”
- การประเมินผลมักวัดจากการสอบข้อเขียน คะแนน และความถูกต้องของคำตอบ
- เน้นเนื้อหาตามตำรา มากกว่าการฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์หรือการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

ข้อดีของการเรียนการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง
- จัดการง่ายและควบคุมเวลาได้ดี ครูสามารถสอนเนื้อหาจำนวนมากในเวลาที่จำกัด เหมาะกับการถ่ายทอดข้อมูลพื้นฐาน
- ครูควบคุมชั้นเรียนได้ชัดเจน ทำให้การเรียนการสอนมีระเบียบ และนักเรียนเรียนรู้ไปในทิศทางเดียวกัน
- เหมาะกับเนื้อหาที่ต้องการความถูกต้องตรงตามตำรา เช่น คณิตศาสตร์ กฎเกณฑ์ หรือความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์

ข้อเสียของการเรียนการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง
- ขาดความยืดหยุ่น นักเรียนแต่ละคนมีความถนัดและจังหวะการเรียนรู้ต่างกัน แต่กลับต้องเรียนตามแบบเดียวกันทั้งหมด
- ไม่กระตุ้นการคิดวิเคราะห์ เด็กถูกจำกัดให้ท่องจำ จึงไม่ค่อยมีโอกาสฝึกคิดอย่างสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริง
- นักเรียนบางคนตามไม่ทัน เด็กที่เข้าใจช้าอาจเรียนไม่ทัน ในขณะที่เด็กที่เข้าใจเร็วก็รู้สึกเบื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่
- พึ่งพาครูมากเกินไป ผู้เรียนไม่คุ้นเคยกับการหาความรู้ด้วยตนเอง ส่งผลให้ขาดทักษะการเรียนรู้อย่างอิสระ
แม้การเรียนการสอนแบบ ครูเป็นศูนย์กลาง จะมีข้อดีในแง่ความเป็นระบบและง่ายต่อการบริหารจัดการ แต่ในระยะยาวกลับไม่สามารถตอบโจทย์การพัฒนาทักษะของผู้เรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของโลกยุคใหม่ได้ นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered) ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้รับการปรับปรุงล่าสุดในปี พ.ศ. 2560

ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered) ในหลักสูตรใหม่
เมื่อการศึกษาก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ แนวทางการสอนใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยหันมาให้ความสำคัญกับ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21
แนวทางนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่าน การลงมือทำจริง การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาด้วยตนเอง มากกว่าการนั่งฟังและท่องจำเพียงอย่างเดียว
- ครูเปลี่ยนบทบาท จาก “ผู้สอน” มาเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) ที่คอยแนะนำและกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาความรู้ด้วยตัวเอง
- นักเรียนมีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถาม ค้นคว้า ทดลอง และแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
- เน้นพัฒนาทักษะกระบวนการ เช่น การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร การคิดเชิงสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา
- ใช้วิธีการเรียนรู้หลากหลาย เช่น
- การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning)
- การอภิปรายกลุ่ม
- การใช้สื่อดิจิทัลเพื่อค้นคว้าและทดลอง
- การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง

ข้อดีของการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- กระตุ้นการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา นักเรียนไม่ได้แค่จดจำ แต่สามารถเชื่อมโยงความรู้และใช้จริงได้
- พัฒนาทักษะรอบด้าน ทั้งการสื่อสาร การทำงานร่วมกัน และการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญของการทำงานในอนาคต
- เพิ่มแรงจูงใจในการเรียน ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากขึ้น ทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อ
- ยืดหยุ่นต่อความแตกต่างของผู้เรียน เด็กแต่ละคนมีความถนัดและความสนใจต่างกัน สามารถเลือกเรียนรู้ในแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง

ข้อเสียหรือข้อท้าทายของการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- ครูต้องปรับบทบาทและทักษะใหม่ การเป็นผู้อำนวยความสะดวกไม่ใช่เรื่องง่าย ครูต้องมีความรู้รอบด้านและเตรียมกิจกรรมมากกว่าเดิม
- ใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้น การจัดกิจกรรมแบบโครงงานหรือ Active Learning ต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเวลามากกว่าการบรรยาย
- ความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้ โรงเรียนที่มีทรัพยากรจำกัดอาจไม่สามารถจัดกิจกรรมหรือใช้สื่อการเรียนรู้ได้เต็มประสิทธิภาพ
- การวัดผลซับซ้อนกว่าเดิม ไม่สามารถใช้ข้อสอบเพียงอย่างเดียว ต้องมีการประเมินจากผลงาน กระบวนการเรียนรู้ และพฤติกรรมร่วมด้วย
การเรียนรู้แบบ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของระบบการศึกษาไทย ที่ไม่เพียงแต่เน้นให้เด็กมีความรู้ในเชิงวิชาการ แต่ยังมุ่งสร้าง ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ และทักษะการปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ยังคงมีความท้าทายที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากครู โรงเรียน และสังคม เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่การสอนแบบใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หรับ ครูประถมศึกษา ที่ต้องจัดการเรียนการสอนและประเมินผลตามแนวทางใหม่ เอกสารรัฐกุลอย่าง ปพ.5 (ระเบียนแสดงผลการเรียน) และ ปพ.6 (สมุดรายงานประจำตัวนักเรียน) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์ศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน
- ปพ.5 ช่วยบันทึกผลการเรียนรายวิชาอย่างเป็นระบบ สะท้อนพัฒนาการเชิงวิชาการของนักเรียน
- ปพ.6 เป็นรายงานประจำตัวที่รวบรวมข้อมูลการประเมินพัฒนาการรอบด้าน เช่น ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
เพื่อให้ครูทำงานได้สะดวกและสอดคล้องกับ หลักสูตรแกนกลางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ซึ่งครอบคลุมทุกสาระการเรียนรู้ และออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
- ครบถ้วน: ครอบคลุมตัวชี้วัดและมาตรฐานทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
- กรอกง่าย: มีโครงสร้างชัดเจน ครูสามารถบันทึกผลได้ทันที
- สอดคล้องกับหลักสูตรใหม่: ยึดตามแนวทางผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มุ่งวัดทั้งความรู้และทักษะการปฏิบัติ
- ใช้งานจริงได้: เหมาะกับห้องเรียนประถมที่ต้องประเมินเด็กหลายมิติ ทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจาก ครูเป็นศูนย์กลาง สู่ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้จบเพียงที่แนวคิด แต่สะท้อนสู่ เครื่องมือการสอนและการประเมินผล ที่ครูต้องใช้จริงในห้องเรียน ครูประถมสามารถอาศัย ปพ.5 ปพ.6 จากรัฐกุล เป็นตัวช่วยในการติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การเรียนการสอนในหลักสูตรแกนกลางใหม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริง คือการสร้างผู้เรียนที่มีศักยภาพ พร้อมคิด วิเคราะห์ และก้าวทันโลกยุคใหม่
📲 สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามเพิ่มเติม
• Facebook: รัฐกุล สมุดบันทึกการสอน
• Line ID: @rathakun11 (ใส่ @ ด้วยนะคะ)
• หรือคลิก: https://lin.ee/1yV7LXW
☎️ โทร: 081-6257458 / 089-691-1094
หจก.รัฐกุล – ผู้ช่วยที่ดีที่สุดของครูประถมทุกคน
Related posts
ประสบการณ์ยิ่งเยอะ…ยิ่งเรียนรู้ได้ไว ชวนคุณครูปฐมวัยมาดูแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย (ตามหลักสูตรปฐมวัย พ.ศ. 2560)
หมวดหมู่
- ความรู้ครูปฐมวัย (126)
- หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย (30)
- อื่นๆ (84)
- ดาวน์โหลดเอกสาร (2)
- พัฒนาการเด็กปฐมวัย (44)
- เอกสารประเมินพัฒนาการเด็ก (14)
- โปรแกรมครูแคร์ (11)
- วิดีโอ (6)
บทความล่าสุด
- ทำไมการประเมินถึงไม่ควรจบที่ “คะแนน”? พฤศจิกายน 12, 2025
- หลักสูตร 2568 เปลี่ยนเพื่อใคร? เปิดมุมใหม่การเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อเด็กไทย คุณครู และพ่อแม่ยุคใหม่ พฤศจิกายน 11, 2025
- ครูประถมยุคใหม่ ต้องใส่ใจคำนี้ Competency-Based สิงหาคม 21, 2025
- อัปเดตสุดจึ้ง! หลักสูตรแกนกลางเปลี่ยนจากครูเป็นศูนย์กลาง สู่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ครูประถมศึกษาต้องไม่พลาด สิงหาคม 20, 2025
- ตัวช่วยครูประถมยุคใหม่! 5 เหตุผลที่ครูประถมศึกษษต้องมี “บัญชีเรียกชื่อและบันทึกผลการประเมิน (รวมวิชา)” จากรัฐกุล สิงหาคม 19, 2025
บทความแนะนำ
-
ทำไมการประเมินถึงไม่ควรจบที่ “คะแนน”?
พฤศจิกายน 12, 2025 -
การจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
มิถุนายน 6, 2018 -
การให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรม
มิถุนายน 6, 2018 -
วิธีฟื้นคืนเด็กพิเศษให้ปกติด้วยการศึกษา
มิถุนายน 6, 2018 -
เสริมสร้างพัฒนาการเด็กอย่างไรให้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ!
มิถุนายน 6, 2018
